OMEGA Planet Ocean 4th Generation
- 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา
-
5,749
ถ้าพูดถึง “นาฬิกาดำน้ำที่จริงจัง” ในโลกของผู้ชายที่ชอบทั้งสไตล์และสมรรถนะ ชื่อของ OMEGA Planet Ocean คือหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ เสมอ ปี 2025 คือหมุดหมายพิเศษ ไม่ใช่แค่ครบรอบ 20 ปี นับจากรุ่นแรกปี 2005 แต่ยังเป็นการเปิดตัว เจเนอเรชั่นที่ 4 ที่ปรับทุกมิติใหม่ตั้งแต่ภายนอกถึงกลไก โดยยังรักษาดีเอ็นเอสายทะเลน้ำลึกของ Seamaster ไว้อย่างครบถ้วน
นี่ไม่ใช่แค่รุ่นปรับโฉม แต่คือการนิยามใหม่ว่าคำว่า “Planet Ocean” หมายถึงอะไรในยุคปัจจุบัน
เส้นทางด้านการดำน้ำของ OMEGA เริ่มตั้งแต่ปี 1932 กับรุ่น Marine เรือนแรกที่ออกแบบเพื่อพลเรือน ก่อนจะต่อยอดมาสู่ Seamaster 300 ในยุค 50–60, รุ่นดำน้ำลึกอย่าง Seamaster 1000 และ PloProf และการกลับมาของ Seamaster Diver 300M ในยุค 90 ที่ช่วยย้ำภาพลักษณ์ “เจ้าแห่งนาฬิกาดำน้ำ” อย่างเต็มตัว

ปี 2005 คือจุดที่ Planet Ocean ถือกำเนิดขึ้นในฐานะนาฬิกาที่ลงได้ลึกกว่าที่เคย—ทนแรงดันได้ 600 เมตร มากกว่า Seamaster Diver 300M เป็นสองเท่า พร้อมดีไซน์ที่ดุดันและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์นักดำน้ำจริงจัง
จากนั้นไม่ว่าจะเป็น
- การใช้ Liquidmetal™ บนขอบเซรามิก (2009)
- การอัปเกรดเป็น กลไก Co-Axial Calibre 8500 พร้อมบาลานซ์สปริงซิลิคอน (2011)
- การพัฒนาเซรามิกสีส้มสุดหินใน Planet Ocean GMT (2014)
- หรือการยกระดับสู่ Master Chronometer และการถือกำเนิดของ Deep Black (2016)
ล้วนค่อย ๆ พัฒนาแนวคิด Planet Ocean ไปสู่จุดที่เราเห็นในเจเนอเรชั่นล่าสุด

สำหรับปี 2025 Planet Ocean ถูกรีดีไซน์ในมุมมองที่ “คมขึ้น แต่บางลง”
- ขนาดตัวเรือนอยู่ที่ 42 มม. เท่ากับรุ่นต้นฉบับปี 2005
- ความหนาลดจาก 16.1 มม. เหลือเพียง 13.79 มม. ทำให้ใส่ทุกวันได้สบายขึ้น
- กระจกหน้าเปลี่ยนเป็นทรงเรียบ ให้ภาพรวมดูกระชับและสะอาดตา
ดีไซน์ภายนอกยังมีการใช้โครงสร้างตัวเรือนสองชิ้นที่มี วงแหวนไทเทเนียมด้านใน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงต่อแรงดันน้ำลึก 600 เมตร และทำให้เส้นสายฝั่งด้านข้างดูมีมิติยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ การถอดฮีเลียมวาล์ว ที่เคยอยู่คู่ Planet Ocean มานานกว่า 20 ปี เพื่อให้ภาพรวมเรียบเนียนและร่วมสมัยมากขึ้น

รุ่นล่าสุดเปิดตัวทั้งหมด เจ็ดเรือน แบ่งเป็นสามโทนหลักที่ต่างบุคลิกกันชัดเจน
เวอร์ชั่นสีส้ม
หน้าปัดดำด้าน แต่งด้วยเลขอารบิกสีส้มเคลือบด้าน ขอบเซรามิกสีส้ม [ZrO2] ฝังสเกลดำน้ำสีขาวแบบไฮบริด ให้ฟีลสปอร์ตจัดจ้าน เหมาะกับคนที่ชอบเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Planet Ocean ตั้งแต่ยุคแรก ๆ
เวอร์ชั่นสีน้ำเงิน
ใช้เลขอารบิกสีขาวบนหน้าปัด และขอบเซรามิกสีกรมที่บรรจุสเกลดำน้ำอีนาเมล ให้โทนสงบ สุภาพ แต่ยังมีความเป็นทะเลแบบ Seamaster อย่างชัดเจน
เวอร์ชั่นสีดำ
เลขอารบิกชุบโรเดียม ขอบเซรามิกโทนดำสนิทกับสเกลอีนาเมล ให้ลุคจริงจัง ใส่กับสูทก็ได้ ใส่ลุยก็ไม่เก้อ
ทุกหน้าปัดมาในโทน ดำด้าน พร้อมชุดเข็มทรงหัวศรและหลักชั่วโมงที่อัดสารเรืองแสง Super-LumiNova เพื่อการอ่านค่าในที่มืดอย่างชัดเจน ตัวเลขอารบิกถูกปรับเป็น “แบบช่อง” ที่เส้นคมกว่าเดิม เป็นการเคารพดีไซน์ดั้งเดิมแต่ปรับให้เข้ากับเส้นสายใหม่ของตัวเรือน

เมื่อโครงสร้างตัวเรือนเปลี่ยน รูปแบบสายก็ได้รับการอัปเดตให้สอดรับไปพร้อมกัน
- สายโลหะรุ่นใหม่ออกแบบให้ ผสานกับตัวเรือน ข้อสายด้านนอกขัดด้าน ตรงกลางขัดเงา ดูสุภาพแต่มีมิติ
- โครงสร้างบางลงเพื่อให้ใส่ทั้งวันได้ ไม่รู้สึกเทอะทะ
- มาพร้อมระบบปรับความยาว ได้ 6 ระดับ และฟังก์ชันขยายสายสำหรับสวมทับเวทสูทดำน้ำ
สำหรับคนที่ชอบลุคสปอร์ตมากขึ้น ยังมีตัวเลือกเป็น สายยาง หัวบานพับให้เลือกจับคู่กับแต่ละสีของหน้าปัดและขอบตัวเรือน

ใต้ฝาหลังไทเทเนียมเกรด 5 คือ กลไก OMEGA Co-Axial Master Chronometer Calibre 8912 ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ พร้อมพลังงานสำรอง 60 ชั่วโมง
ขุมพลังนี้ผ่านการรับรองจาก METAS ในด้าน
- ความเที่ยงตรง
- ประสิทธิภาพ
- การต้านทานสนามแม่เหล็กในระดับสูง
นี่คือกลไกเดียวกับที่ใช้ในนาฬิกา Ultra Deep ที่ลงได้ลึกถึง 6,000 เมตร แปลว่าบนข้อมือคุณคือเทคโนโลยีระดับเรือธง เพียงอยู่ในขนาดที่เหมาะกับชีวิตประจำวันมากกว่า


เพื่อเปิดบทใหม่ของสายดำน้ำระดับไอคอนนี้ OMEGA จัดแคมเปญระดับโลก นำโดยสองนักแสดงแถวหน้า Aaron Taylor-Johnson และ Glen Powell
- ฝั่งแรกคือภาพของชายที่มีความลึกทางอารมณ์ ผูกพันกับ Seamaster มายาวนานและเลือกใส่ Planet Ocean สีน้ำเงิน
- อีกด้านคือพลังของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมลุยทุกบทบาท กับรุ่นสีส้มในตำนานบนข้อมือ
ทั้งหมดคือภาพของชายที่ไม่ได้แค่ “ใส่นาฬิกาดำน้ำ” แต่ใช้มันเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าที่จะลงไปให้ลึกกว่าเดิม ทั้งในมหาสมุทร และในชีวิตจริง







