WONDERFRUIT 2019

BY METROSOCIETY

  • 27 พฤศจิกายน 2562
  • 6,997

"วันเดอร์ฟรุ๊ต" เฟสติวัลระดับโลกโดยคนไทย จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองงานศิลปะ ดนตรี อาหาร และไอเดียสร้างสรรค์ กลับมาอีกครั้งในเดือนธันวาคมนี้ ชูคอนเซ็ปต์ “ป๊อปอัพซิตี้” แนวคิดการสร้างเมืองในอุดมคติตามวิถีความยั่งยืน ด้วยการนำประสบการณ์และการเรียนรู้ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รังสรรค์เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนอยากมีส่วนร่วม

  

ภายใน “ป๊อปอัพซิตี้” ที่วันเดอร์ฟรุ๊ตสร้างขึ้น ผู้มาร่วมงานจะได้สัมผัสไลฟ์สไตล์ความยั่งยืนตั้งแต่เริ่มออกเดินทางเพื่อมาร่วมงาน ในปีนี้เหล่าวันเดอร์เรอร์จะสามารถคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเกิดขึ้นจากการเดินทางของตนเองได้บนเว็บไซต์ของวันเดอร์ฟรุ๊ต โดยคำนวณจากระยะทาง ประเภทยานพาหนะ และจำนวนผู้โดยสาร เพื่อทราบปริมาณคาร์บอนที่คุณจะสร้างขึ้น ซึ่งสามารถทำการชดเชยคาร์บอนที่ผลิตขึ้นนี้ได้ ด้วยการสนับสนุนคาร์บอนเครดิตของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะเป็นกำลังสนับสนุนในการดูแลรักษาผืนป่าดอยตุง เพื่อให้คงสถานะแหล่งดูดซับคาร์บอน (carbon sink) ไปได้อีกอย่างน้อย 20 ปีข้างหน้า ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าว ป่าต้นน้ำบนดอยตุงจะสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 2 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า

 

 

นอกจากนี้วันเดอร์ฟรุ๊ตยังคงมุ่งมั่นลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นภายในงาน โดยเป็นปีแรกที่ใช้นโยบายงดเว้นแก้วพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างเข้มงวด ให้เหล่าวันเดอร์เรอร์ผู้มาร่วมงานภาชนะบรรจุอาหารและเครื่องดื่มติดตัว โดยได้ระบุให้เป็นอีกหนึ่งระเบียบและข้อปฏิบัติที่จำเป็นต้องทำเมื่อมาวันเดอร์ฟรุ๊ต รวมไปถึงระบบการขายเครื่องดื่มในงาน ก็จะไม่มีการเสิร์ฟแบบใส่แก้วที่ใช้แล้วทิ้ง แต่บาร์หรือร้านค้าภายในงานจะรินใส่แก้วที่พกติดตัวมา นอกจากนี้ยังมีจุดเติมน้ำดื่มฟรีให้บริการ ตลอดจนจุดล้างทำความสะอาดภาชนะตั้งอยู่ทั่วงานอีกด้วย

 

 

 

พร้อมพบกับโซนใหม่ล่าสุด ลิฟวิ่ง วิลเลจ (Living Village) หมู่บ้านขนาดย่อมที่นำเอาประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ มาเป็นคอนเซ็ปท์หลักในการออกแบบ โดยภายในโซนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย หู มือ และลิ้น โดยส่วนของหู จะเป็นที่ตั้งของ Creature Stage with Indorama Ventures เวทีใหม่ของงานที่ใช้ผ้าทอจากเส้นใยรีไซเคิลของขวดพลาสติก PET มาประกอบโครงสร้างเพดานทั้งหมดของของเวที

 

 

ในขณะที่บริเวณมือ เป็นที่ตั้งของเวิร์คช็อปต่าง ๆ ที่วันเดอเรอร์จะได้เรียนรู้และลงมือด้วยตนเอง เช่น การแปรรูปและรีไซเคิลพลาสติกเป็นข้าวของเครื่องใช้ และส่วนของลิ้น ซึ่งเป็นที่ตั้ง Ziggurat with Singha ลานเบียร์ที่สร้างขึ้นจากการอัพไซเคิลวัสดุลังไม้และขวดเบียร์ นอกจากนี้ พื้นที่ตรงกลางของ Living Village ยังเป็นที่ตั้งของ Woven House ผลงานที่ชนะการประกวดออกแบบพาวิลเลียนเพื่อใช้นำเสนอในนิทรรศการความเป็นมาของวันเดอร์ฟรุ๊ต ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดด้านความยั่งยืนอย่างครบถ้วนทุกองค์ประกอบ 

 

 

สำหรับดนตรีในปีนี้ หลายเวทีนำเสนอในรูปแบบของการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มศิลปินหรือค่ายเพลงเข้ามาสร้างสรรค์โปรแกรมความสนุกให้กับวันเดอร์เรอร์ได้แบบจัดเต็มต่อเนื่อง เริ่มที่ ฟอร์บิดเดน ฟรุ๊ต (Forbidden Fruit) นำทีมโดย GO GRRRLS CREW กลุ่มศิลปิน LGBTQ ที่จะชวนทุกคนออกมาแดนซ์ไปกับซาวด์ดนตรีสนุก ๆ ที่ผสมผสานระหว่างเพลงแดนซ์ที่คลาสสิคตลอดกาลและเพลงฮิตร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างครบรส มาพร้อมกับทวิสต์ให้คนฟังได้ตื่นเต้นไปกับทุกจังหวะ ต่อด้วยค่ายเพลง Ed Banger Records จากฝรั่งเศสที่ขนศิลปินและดีเจมาเทคโอเวอร์ และปิดท้ายกับมิวสิคเฟสติวัลจากโตเกียว Rainbow Disco Club

 

 

ที่จะมาเปิดเฟสติวัลขนาดย่อม ๆ ที่นี่อีกด้วย สำหรับเวที เนรมิต (Neramit) ค่ายเพลงสุดแรงม้า ยกทัพศิลปินและดีเจในค่าย มานำเสนอแนวเพลงที่หลากหลายสไตล์ฟิวชั่น ครอบคลุมตั้งแต่ฟังค์ แจ๊ซ เวิลด์มิวสิค ไปจนถึงดนตรีไซเคดิลิกสไตล์ไทย ๆ อย่างลูกทุ่งหมอลำแบบให้ได้อินกันทุกแนว  ขณะที่ เอส โอ ที (SOT) ก็ระดมดีเจผู้ชนะจากเวที Red Bull 3Style ทั่วโลก มาเปิดเพลงสร้างความสนุกแบบนันสตอป พร้อมพบกับศิลปินจากค่าย Def Jam Thailand ในคืนต่อมา ที่จะรวบรวมเพลงฮิปฮอปและดนตรีเออร์บันที่กระตุ้นโสตประสาท ชวนออกสเตปมานำเสนออย่างต่อเนื่อง  

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกัน Sabai Sabai Radio ก็เข้ายืดพื้นที่เวที ซิกกุแรต (Ziggurat) ด้วยดนตรีสุดล้ำผสานอารมณ์เพลงสบาย ๆ เข้ากับบรรยากาศลานเบียร์สุดชิลล์ เวทีแฮมเล็ต (Hamlet) กลับมาพร้อมชื่อใหม่ ออมเลต (Omelette) ได้แบรนด์ไลฟ์สไตล์จากบาหลีซึ่งมีสาขาทั่วเอเชียอย่าง Potato Head มาทำหน้าที่มิวสิคคิวเรเตอร์คัดสรรไลน์อัพดีเจร่วมเทคโอเวอร์หนึ่งคืน นอกจากนี้ยังคงจัดเต็มกับโชว์และซาวด์ดนตรีเฉพาะตัวของแต่ละเวที ไล่เรียงตั้งแต่ โซลาร์ สเตจ (Solar Stage)

 

 

ที่ยังคงเป็นไฮไลท์ในการชมแสงแรกของวันและดวงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า โพลิกอน (Polygon) ที่จัดหนักกับไลน์อัพศิลปิน-ดีเจอิเล็คทรอนิกส์พร้อมระบบซาวด์ดนตรีและวิชวลรอบทิศทาง หมอลำ บัส (Molam Bus) ไฮไลท์สปอตสำหรับผู้ที่ต้องเพลิดเพลินไปกับจังหวะสนุก ๆ ของดนตรีที่มีกลิ่นอายพื้นบ้านของภาคอีสาน และอีกหนึ่งไฮไลท์ที่คอดนตรีไม่ควรพลาด คือการแสดงสดครั้งแรกของ Musicity โปรเจกต์ดนตรีระดับโลกที่นำเสนอเพลงซึ่งสะท้อนถึงแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองต่าง ๆ ที่ เธียร์เตอร์ สเตจ (Theatre Stage) โดยศิลปินในสังกัด Erased Tapes จากอังกฤษ ร่วมกับศิลปินไทย สร้างสรรค์ผลงานเพลง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจและสะท้อนถึงสถานที่สำคัญต่าง ๆ ของกรุงเทพ 

 

 

นอกเหนือจากประสบการณ์ทางดนตรีที่อัดแน่นแล้ว ด้านอาหารซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของงาน ในปีนี้เชฟและร้านอาหารที่ทำงานร่วมกับวันเดอร์ฟรุ๊ต ต่างร่วมกันคิดค้นเมนูอาหารที่นำเสนอเรื่องราวของความยั่งยืนในรูปแบบใหม่ ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ที่ เธียร์เตอร์ ออฟ ฟีสต์ (Theatre of Feast) วันเดอร์เรอร์จะได้พบกับโปรเจกต์พิเศษ ที่เป็นความร่วมมือระหว่าง bo.lan ร้านอาหารไทยโมเดิร์นคูซีนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน กับเชฟมิชลินสตาร์ Rishi Naleendra จะมาร่วมกันสร้างสรรค์คอร์สเมนูปิ้งย่างสไตล์อิซากายะที่ผสมผสานสูตรอาหารไทยและศรีลังกาเข้าด้วยกัน ขณะที่สองเชฟที่เพิ่งได้รับมิชลินสตาร์จากร้าน 80/20 ย่านเจริญกรุง ก็จะใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของไทยในการครีเอทเมนูซีฟู้ดแบบยั่งยืน พร้อบพบกับสามแม่ครัวจากสามร้านดังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ร้านโคอิตรัง ตรัง Tanya’s Homemade Eatery หัวหิน

 

 

และ Blackitch เชียงใหม่ ที่จะนำสูตรก้นครัวของแต่ละบ้านที่สืบทอดจากรุ่นคุณย่ามาปรุงอาหารรสมือแม่ให้ได้อิ่มอร่อยกัน ในขณะที่เชฟ DK จากร้าน Haoma จะนำผักที่ปลูกเองแบบไร้สารพิษมารังสรรค์คอร์สอาหารมังสวิรัติที่แปลกใหม่และน่าสนใจ สำหรับ วันเดอร์ คิทเช่น (Wonder Kitchen) เชฟหนุ่มจากร้านซาหมวย แอนด์ ซัน อุดรธานี จะนำเสนออาหารอีสานโมเดิร์นที่ประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านกับวัตถุดิบตามฤดูกาล และเชฟแรนดี้จากร้าน Fillets หลังสวน จะมาจัดคอร์สโอมากาเสะโดยใช้ปลาจากท้องทะเลไทย เป็นการส่งเสริมและยกระดับวัตถุดิบจากภาคประมงของไทยไปอีกขั้น

 

 

สำหรับโปรแกรม สแครทช์ ทอล์ก (Scratch Talks) วันเดอร์ฟรุ๊ตได้รวบรวมเหล่าผู้นำทางความคิดจากทั่วโลก มาร่วมแชร์เรื่องราวและประสบการณ์ที่จะจุดประกายไอเดีย พร้อมเปิดมุมองใหม่ ๆ ให้กับเหล่าวันเดอเรอร์ โดยในปีนี้ก็ยังคงจัดขึ้นใน Eco Pavilion ภายใต้ธีมหัวข้อ LIVE, LOVE และ WONDER พบกับพาเนลเสวนาเกี่ยวกับนวัตกรรมพลาสติกที่จะชวนเรามาหาทางออกร่วมกัน พร้อมฟังเรื่องราวของนักบินที่มีข้อบกพร่องทางสายตาแต่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิตได้ ไปจนถึงการจัดการความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนให้เป็นความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนโดยเลิฟกูรู และร่วมถกประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในวงจรการผลิตของอุตสาหกรรมแฟชั่น

 

 

สำหรับผู้ที่ต้องการปรับสมดุลให้กับร่างกายและจิตใจ วันเดอร์เนส (Wonderness) คือพื้นที่ที่จะเปิดโอกาสให้ได้สำรวจและค้นพบตนเอง ผ่านการทำเวิร์คช็อป กิจกรรม และการรักษาในรูปแบบต่าง ๆ โดยในปีนี้ จะมีกิจกรรมที่นำเอาภูมิปัญญาไทยเข้ามาผสมผสาน ให้วันเดอเรอร์ได้รับพลัง พร้อมฟื้นฟูร่างกายและจิตใจตามวิถีดั้งเดิมที่ถูกนำมาตีความและนำเสนอในรูปแบบใหม่ เช่น การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจด้วยคลื่นเสียงจากการตีฆ้อง (sound bath) ที่ผสมผสานเข้ากับการเจริญสติแบบพุทธ หรือ ย่ำขาง ศาสตร์บำบัดล้านนาที่ใช้ไฟในการนวดรักษา 

 

 

พร้อมพบกับกิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัวใน แคมป์ วันเดอร์ (Camp Wonder) ที่เด็ก ๆ จะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ตั้งแต่การเข้าไปในฟาร์มเพื่อเก็บไข่ไก่มาทำอาหาร ไปจนถึงเรียนรู้ชีวิตของแมลงตัวน้อยที่ Bug Hotel และเวิร์กช็อปสนุก ๆ ที่ได้ใช้จินตนาการไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพระบายสี การทำสีจากวัสดุธรรมชาติที่หาได้รอบตัว ไปจนถึงการฝึกแอโครโยคะแบบครอบครัว ให้พ่อแม่ลูกได้มาช่วยกันพยุงตัว กับโยคะที่ผสมผสานกายกรรมและการนวดแผนไทยเข้าไว้ด้วยกัน 

 

 

#Wonderfruit2019 จะจัดขึ้นในวันที่ 12-16 ธันวาคม ณ เดอะฟิลด์ แอท สยามคันทรีคลับ พัทยา ราคาบัตรเฟสที่ 3 เริ่มต้นที่ราคา 3,700 บาท สำหรับบัตรวันอาทิตย์ 6,900 บาท สำหรับบัตรวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และ 8,100 บาท สำหรับทุกวัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน และที่พักประเภทต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์วันเดอร์ฟรุ๊ต: www.wonderfuit.co  หรือเฟซบุ๊คที่ www.facebook.com/wonderfruitfest