LES PARFUMS LOUIS VUITTON

• A journey that begins on bare skin

BY Duty editor

  • 23 สิงหาคม 2559
  • 59,239

คอลเลคชั่นกลิ่นหอมที่เปรียบได้กับ - การเดินทางแห่งอารมณ์ -

ตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์เป็นต้นมา หลุยส์ วิตตองมุ่งมั่นเดินหน้าตามความฝันไปสู่ขอบฟ้าอันแสนไกล หลังจากที่รังสรรค์กระเป๋าเดินทางทรงหีบที่ปัจจุบันกลายมาเป็นไอคอนของแบรนด์ หลุยส์ วิตตองก็ได้ให้คำมั่นว่าจะอยู่เคียงข้างกายนักเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง …แต่บางครั้ง แค่เพียงหลับตาเราก็จะสามารถเดินทางไปสู่อีกด้านหนึ่งของโลกของเราเองได้

 

อุปมาได้ว่าการเดินทางนั้นไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นความรู้สึก เป็นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องที่ช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณ เป็นความสั่นสะเทือนที่ทำให้หัวใจคุณเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เป็นความทรงจำที่จะจารึกในใจตลอดไป เป็นอารมณ์ที่จะเปลี่ยนการเป็นอยู่ และบัดนี้ความรู้สึกที่ค้างคาเหล่านี้ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์อันเลอค่านั่นคือ น้ำหอมหลุยส์    วิตตอง (Les Parfums Louis Vuitton)

 

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอม ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด (Jacques Cavallier Belletrud) เป็นชาวเมืองกราส (Grasse) เมืองต้นกำเนิดน้ำหอมและเครื่องหนัง เขาใช้เวลาหลายเดือนเดินทางไปทั่ว 5 ทวีป เพื่อเสาะหาความรู้สึกที่ไม่คาดหวังมาก่อน ความรู้สึกที่ได้จากการสูดกลิ่นหอมของวัตถุดิบสุดเอ็กโซติกที่มาจากต่างบ้านต่างเมืองและสุดจะหายาก จากนั้นเขาก็จินตนาการถึงการเดินทางแห่งการรับกลิ่นใน 7 รูปแบบ จนสามารถรังสรรค์ให้เป็น 7 เรื่องราวที่เอื้อให้เกิดแรงบันดาลใจจนกลายมาเป็นน้ำหอมสำหรับสุภาพสตรี นั้นก็คือที่มาของน้ำหอมหลุยส์วิตตอง ถึง 7 กลิ่น

 

น้ำหอมทั้ง 7 ที่รังสรรค์ขึ้นนั้น ล้วนต่อเติมจินตนาการในห้วงการเดินทางที่ตอบทุกโจทย์ของผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมเบาสบายดังกลีบกุหลาบที่ลอยล่องกับโรส เดส์ วองต์ส (Rose des Vents) แต่งเติมความเย้ายวน อันแสนหอมหวานจากดอกซ่อนกลิ่นอย่างตูร์บิวลองซ์ (Turbulences) ความปลาบปลื้มในค่ำคืนแรกกับ ด็องส์ ลา โป (Dans la Peau) การดื่มด่ำไปกับธรรมชาติกับ อะโปเช่ (Apogée) การเปิดเผยตัวตนกับ ก็งทร์ มัว (Contre Moi) ก่อนปิดท้ายสัมผัสแห่งอารมณ์ยามรัตติกาลไปกับ มาติแยร์ นัวร์ (Matière Noire) และการปะทุของประสาทสัมผัสไปกับ มิลล์ เฟอส์ (Mille Feux) 

 

 

........... และแล้วการผจญภัยก็เริ่มขึ้น


 

โรส เดส์ วองต์ส (Rose des Vents)

 

 

เครื่องมือที่ขาดไม่ได้ของนักเดินทางในการดูทิศทางนั่นคือเข็มทิศ มันเย้ายวนจิตวิญาณอิสระให้ออกเดินทาง สายลมที่ชวนให้นึกถึงสัมผัสอันอ่อนโยนของผืนแพรไหมเพ่งไปยังความกลมกลืนทั่วทั้ง 4 ทิศ

ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูดได้แรงบันดาลใจในการปรุงกลิ่นที่มีความเบาบางราวความอ่อนนุ่มดั่งแพรไหม เขาพาเราเดินทางไปที่เมืองกราส ไปยังกลางทุ่งกุหลาบเซนทิโฟเลีย โรส (Centifolia rose) แต่ก็ไม่มีอะไรให้หวนถึงอดีตหรือความอ่อนหวานของกุหลาบแห่งเดือนพฤษภาคม (May rose) นี้ ดอกกุหลาบเซนทิโฟเลีย โรสถูกสายลมพัดกระหน่ำสั่นไหวมีชีวิตชีวา ลองฟังดี ๆ สิ คุณเกือบจะได้ยินเสียงมันหายใจอยู่แล้วล่ะ

ความเย้ายวนของอากาศที่เปิดโล่ง (The lure of the open air)

ผู้เชี่ยวชาญด้านปรุงน้ำหอมได้ใช้ดอกกุหลาบพิเศษ 3 ชนิดเพื่อรังสรรให้เกิดความรู้สึกถึง กลีบกุหลาบที่ล่องลอยในสายลม โดยการนำน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบเซนทิโฟเลีย โรส ไปสกัดด้วยกรรทวิธีคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นวัตถุดิบอันปราณีตที่มีเฉพาะที่ แบรนด์ หลุยส์ วิตตอง เขานำน้ำมันเอสเซ้นส์ของกุหลาบตุรกี (Turkish rose) และน้ำมันเอสเซ้นส์ของกุหลาบบุลกาเรีย (Bulgarian rose) ไปกลั่นด้วยไอน้ำ

แม้ว่าดูเหมือนกุหลาบซึ่งเป็นดอกไม้ไอคอนนิกนี้จะถูกเปิดเผยความลับออกมาหมดแล้ว แต่ในครั้งนี้ดอกกุหลาบได้เผยถึงคาแรคเตอร์ที่คาดไม่ถึงออกมาให้เห็น โดดเด่นเป็นประกายเมื่อเติมเข้ากับฟลอเรนไทน์ ไอริส (Florentine iris) และเวอร์จิเนียร์ ซีดาร์ (Virginia cedar) และเพิ่มความสไปซี่และมันวาวด้วยพริกไทย

จากนั้นความรู้สึกประหลาดใจก็ค่อย ๆ บังเกิด ส่วนผสมทั้งหมดนั้นกลายมาเป็นสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ด้วยกายสัมผัส อ่อนโยนเหมือนผิวกำมะหยี่ของผลไม้ สีทองอร่ามราวกับแสงแรกในยามเช้าเป็นเพื่อนร่วมทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุก ๆ การเดินทาง

 


 

ตูร์บิวลองซ์ (Turbulences)

 

 

บางครั้งการค้นพบดินแดนอันแสนไกลก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นความวุ่นวายได้เหมือนกัน เป็นการกระโดดเข้าไปในที่ว่างเปล่า ความรู้สึกเหมือนเวลาที่เครื่องบินพุ่งทะยานขึ้นเหนือเมฆ จะเกิดความรู้สึกกลัวที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น แล้วจมดิ่งลงก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง

ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด ได้แรงบันดาลใจมาจากสภาวะที่คล้ายกับรักแรกพบ เขาใช้ดอกไม้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดอกที่เย้ายวนชวนให้ติดใจ (narcotic) มากที่สุด ดอกไม้ที่ให้ความปิติและพิสูจน์แล้วว่า ทำให้เกิดความรู้สึกพอึงพอใจสุดยอดจนถึงทำให้เสพติดได้ นั่นคือดอกซ่อนกลิ่น หรือดอกทิวบ์โรส (tuberose)

 

ความรู้สึกปลุกเร้าใจ Heart-stirring sensations

ตูร์บิวลองซ์รังสรรค์ขึ้นจากดอกทิวบ์โรสที่เก็บเกี่ยวในตอนพลบค่ำ นำมาผสมผสานเข้ากับผลไม้ต่างถิ่นอันเอ็กโซติกอย่างเย้ายวนในสัดส่วนที่พอเหมาะพอควร ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูดคิดไอเดียนี้ขึ้นได้ในเย็นวันหนึ่งของเดือนสิงหาคมที่เมืองกราสส์ ขณะที่เขากำลังเดินไปยังประตูรั้วในสวนกับคุณพ่อของเขาซึ่งเป็นนักปรุงน้ำหอมเช่นกัน ชายทั้งสองวัยหยุดชะงักทันทีทันใดเพราะกลิ่นผสมผสานจากกลีบดอกไม้สีขาวนี้

เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกกลิ่นของดอกทิวบ์โรสออกจากกลิ่นของพุ่มมะลิจัสมินในสวน ผู้เชี่ยวชาญด้านปรุงน้ำหอมของหลุยส์ วิตตองรู้สึกประทับใจอย่างมากในของขวัญจากธรรมชาตินี้ เขาจึงใช้เวลาหลายเดือนเพื่อเลือกสรรกลีบดอกไม้ที่เหมาะสำหรับสานสร้างความทรงจำนั้นขึ้นอีกครั้ง

 

แน่นอนดอกไม้ที่เขาใช้ต้องมีดอกทิวบ์โรส และดอกจัสมิน แกรนดิฟลอรัม (jasmine grandiflorum) จากเมืองกราสส์ น้ำมันหอมระเหยจากดอกมะลิแซมบัค (absolute of jasmine sambac) ที่ชาวจีนปลูกสำหรับปรุงรสชาที่หายากที่สุด ดอกแมกโนเลียจีน (Chinese magnolia) ดอกเมย์ โรส (May rose) และแต้มหนังเข้าไปเบาๆ เพื่อเจือคาแรคเตอร์ของสัตว์หน่อย ๆสเปรย์น้ำหอมลงบนผิวกาย เคลิบเคลิ้มอย่างลึกซึ้งและดื่มด่ำ การห่างหายไม่ได้พบเจอกันทำให้ความปรารถนาแรงกล้าขึ้นหรือไม่ การเดินทางก็มีพลังนั้นเช่นกัน มันจุดอารมณ์ให้อยากสวมกอดอย่างรักใคร่เสน่หา

 


 ด็องส์ ลา โป (Dans la Peau)

   

ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด ได้จินตนาการถึงการเผชิญหน้ากับการปลุกเร้าอันร้อนแรง เหมือนกับการประทับตราที่ไม่สามารถลบเลือนได้ การผสมผสานหนังธรรมชาติแบบเอ็กซ์คลูซีฟจากเวิร์คช้อปหลุยส์ วิตตอง นี่เองที่ทำให้คุณต้องยอมพ่ายแพ้ให้แก่อ้อมกอดอันน่าหลงใหลเสน่หา

เขาผสมผสานหนังพิเศษเข้ากับแอพริคอทเคลือบความหวาน สารสกัดจากดอกมะลิจากเมืองกราสส์ด้วยวิธีคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ซึ่งเป็นวิธีเฉพาะที่แบรนด์เมซง หลุยส์ วิตตอง และดอกจัสมิน แซมบัคจากประเทศจีน

 

จากนั้นก็มีน้ำมันหอมระเหยจากดอกนาร์ซิสซัส (narcissus) ดอกไม้เดี่ยวที่ทำให้นึกถึงทั้งยาเส้นทั้งความเขียวของก้านดอกไม้ที่เพิ่งตัดใหม่ ๆ กลิ่นของมันสามารถเร้าอารมณ์เพศได้อย่างแรง

ได้นำกลุ่มมัสก์ (musks) ที่มีความเย้ายวนที่สุดกลุ่มหนึ่งมาห่อหุ้มผิว ไม่ว่าจะเป็น พาวเดอรี่มัสก์ (Powdery musk) คลีนมัสก์ (Clean musk) มัสก์จากสัตว์ (Animal musk) และมัสก์จากดอกไม้ (Floral musk) และนำกลุ่มของมัสก์อันแสนเย้ายวนนี้มาปลอบประโลมด้วยสัมผัสของดอกแมกโนเลียจีน

น้ำหอมกลิ่น ด็องส์ ลา โป ไม่ได้เสแสร้งสร้างแรงปรารถนา แต่สร้างขึ้นจริง ๆ และยังเผยออกมาด้วย

 


อะโปเช่ (Apogee)

 

 

การเดินทางในบางครั้งก็ช่วยให้เราค้นพบตัวเอง เรามองเห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ความเขียวขจีของผืนป่า ความเงียบสงบของทะเลสาบ ความสูงชันของยอดเขา และในประสบการณ์นี้เราก็ค้นพบว่าสิ่งสำคัญที่แท้จริงก็คือว่า หากเราเปิดตามองความงาม เราก็จะเห็นโลกในมุมใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เพื่อแสดงถึงความรู้สึกสุดพิเศษนี้ ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด ได้เลือกสัญลักษณ์ของการเกิดขึ้นใหม่เป็นดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ แวลเลย์ (lily of the valley) ด้วยกลิ่นหอมที่เป็นที่ชื่นชอบทั้งในตะวันตกและในญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงน้ำหอมของหลุยส์ วิตตองได้รังสรรค์กลิ่นใหม่ อะโปเช่ กลิ่นหอมแห่งความไร้เดียงสา

 

 

กำเนิดขึ้นใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

น้ำหอมที่กระตุ้นความรู้สึกและประสาทสัมผัส เพื่อผสมผสานกับความสดใสของลิลลี่ ออฟ เดอะ แวลเลย์ เขาได้เติมดอกจัสมินจากเมืองกราส ดอกแมกโนเลียจีน และดอกเมย์โรสจากเมืองกราส สกัดด้วยกรรมวิธีคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบเฉพาะของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ให้ความรู้สึกราวกับว่าผิวถูกปกคลุมไปด้วยกลีบดอกไม้ ภายใต้กลิ่นหอมสดชื่นของดอกลิลลี่ ออฟ เดอะ แวลเลย์เป็นกลิ่นเบสที่ช่วยให้กลิ่นหอมของดอกไม้ติดทนนานยิ่งขึ้น ตามด้วยกลิ่นไม้กวาแอค (guaiac wood) และแซนดัลวูด (sandal wood) ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกิ่งไม้หอมเป็นการมอบชีวิตใหม่ให้แก่ธรรมชาติอย่างเป็นนิรันดร์

 


 ก็งทร์ มัว (Contre Moi)

   

 

ก็งทร์ มัว ให้ความรู้สึกถึงการหลอมรวมของนักเดินทาง 2 สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางสุดขอบโลกหรือการเปิดเผยตัวเองโดยปราศจากการปรุงแต่ง เป็นกลิ่นหอมเย้ายวนที่ปลดปล่อยให้อารมณ์เฉิดฉายออกมา

ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด ชื่นชอบกลิ่นวานิลลาเสมอมา และรู้จักสายพันธุ์วานิลลาทั้งหมดเป็นอย่างดี และในการทำน้ำหอมกลิ่นนี้เขาเลือกใช้กลิ่นมาดากัสการ์ (Madagascar) ให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นหนัง ผสมผสานกับทาฮิเทนสิส วานิลลา (Tahitensis vanilla) แต่เขาเลือกที่จะใช้แรงบันดาลใจจากดอกกล้วยไม้แทนที่จะใช้ฝักสีดำของวานิลลา

 

 

ก็งทร์ มัว เป็นมิติใหม่แห่งกลิ่นวานิลลา เป็นความหอมสดชื่นที่ชวนให้หลงใหลและเย้ายวนประสาทสัมผัส มีกลิ่นหอมอบอุ่นจากวานิลลา ตามด้วยความสดชื่นจากดอกไม้ที่เกิดขึ้นจากการผสมอ็อกซิเจน ผสานกับกลีบดอกไม้หอมหวาน ไม่ว่าจะเป็นออเร้นจ์ บลอซซัม (orange blossom) กุหลาบเซนทิโฟเลีย โรสจากเมืองกราส และเอสเซนส์ของดอกแมกโนเลีย ตามด้วยกลิ่นขมอ่อน ๆ ของโกโก้เพื่อให้ความรู้สึกท้าทายและช่วยเติมเต็มกลิ่นเหล้าหมักจากลูกแพร์หรือแพร์ลิเคอร์ (pear liqueur) และกลิ่นมัสก์ น้ำหอมก็งทร์ มัว ให้กลิ่นวานิลลาในแบบที่สดชื่นและไม่เหมือนใคร เป็นกลิ่นหอมเย้ายวนใจที่ชวนให้คุณอยากจะจูงมือใครสักคนและหนีไปด้วยกัน

 

 


 มาติแยร์ นัวร์ (Matière Noire)

 

การออกสำรวจจักรวาลนั้นเป็นการเดินทางในฝัน และเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นที่สุด และเป็นตำนานที่ชวนให้จินตนาการและอยากจะสำรวจความลึกลับนี้ ความมืดช่างดูไร้ที่สิ้นสุด เข้าใจยาก และจับต้องไม่ได้ อยู่เหนือห้วงกาลเวลาและเกินคำว่าเป็นไปไม่ได้

ในการจินตนาการถึงความลี้ลับที่ไม่รู้จัก ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด เลือกดอกแพทชูลี (patchouli) และดอกอื่น ๆ เขาเลือกพรรณไม้ที่หายากที่สุดในโลกแห่งการทำน้ำหอม นั่นก็คือไม้หอมอาการ์ (agarwood) จากลาว ซึ่งเป็นไม้ที่เขาศึกษาและเชี่ยวชาญมานานหลายปี

 

เข้าสู่ความมืด

เพื่อให้กลิ่นไม้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เขานำมาจับคู่กับแบล็กเคอร์แรนท์ (blackcurrant) และนำดอกไวท์นาร์ซิสซัสมาคู่กับดอกมะลิจัสมินแซมบัคเพื่อนำความมืดและความสว่างมาผสมผสานกัน เกิดเป็นกลิ่นที่บางเบาเหมือนล่องลอยอยู่ในอวกาศ

มีกลิ่นอายของดอกไม้เคลื่อนไหวตัดกับความมืดราวกับแสงของดาวตกในห้วงอวกาศ ดอกเซนทิโลเลียนำมาสกัดด้วยกรรมวิธีคาร์บอนไดอ็อกไซด์ตามแบบฉบับเฉพาะของหลุยส์ วิตตอง และดอกไซคลาเมน (cyclamen) ให้ความรู้สึกเหมือนหยาดน้ำค้างยามเช้า เมื่ออยู่บนผิวแล้วให้กลิ่นหอมราวเวทย์มนตร์ ผสมผสานกลิ่นหอมของธูปและเบนโซอินบาล์ม (benzoin balm) มาติแยร์ นัวร์ เปรียบเสมือนหมู่ดาวแห่งกลิ่นหอม ลึกลับราวกับเงามืด

 

 


 มิลล์ เฟอซ์ (Mille Feux)

  

 

แสงสว่างไม่ว่าจะเป็นแสงสีทอง ฟากฟ้าที่ประดับไปด้วยหมู่ดาว หรือแสงเหนือ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเดินทางมีความมหัศจรรย์มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแสงสว่างสาดส่องบนทางเดิน อาบหนทางไปด้วยแสงอาทิตย์ ฉาบบนหลังคาบ้านเรือน และเคลือบผิวให้เปล่งประกายดุจสีทองแดง

เพื่อถ่ายทอดความเปล่งประกายนั้นลงในน้ำหอม ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด มองหาสีสันสดใสที่จะเติมลงไปในผลงานของเขา วันหนึ่งเขาได้ไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องหนังของหลุยส์ วิตตอง และเห็นช่างฝีมือผลิตกระเป๋าด้วยหนังสีราสเบอร์รี่ สีสันที่สดราวกับผลไม้สุกนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เขาในการนำกลิ่นหนังมาผสมผสานกับผลเบอร์รี่

 

ความตื่นเต้นที่เปล่งประกาย

เขารังสรรค์กลิ่นนี้ด้วยการนำกลิ่นหนังหลุยส์ วิตตองมาผสมกับดอกออสแมนธัสจากประเทศจีน (Chinese osmanthus) ซึ่งเป็นดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นของสัตว์และแอพริค็อต

กลิ่นหอมของดอกไอริสผสมผสานกับหญ้าฝรั่น (saffron) เพื่อเน้นกลิ่นของหนังให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และมีกลิ่นหอมหวานของราสเบอร์รี่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผสมผสานกลิ่นราสเบอร์รี่เข้ากับหนัง เป็นกลิ่นที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี มิลล์ เฟอซ์ นั้นเปรียบได้เหมือนกับระเบิดแห่งอารมณ์ให้ความรู้สึกพลุ่งพล่านราวกับจุดพลุ เป็นสุดยอดแห่งความหอม

 


ขวดแก้วที่ไม่มีวันตกยุค

 

ในยุคที่บางคนเชื่อว่า ความหรูหรานั้นดูกันที่น้ำหนักของแก้ว แต่หลุยส์ วิตตองก็ออกแบบขวดน้ำหอมในมุมมองใหม่ ความหรูหราน่าจะอยู่ที่การทำให้ชีวิตประจำวันน่าอภิรมย์ขึ้นไม่ใช่หรือ ขวดใหม่นี้ออกแบบโดย มาร์ค นิวสัน (Marc Newson) ผู้เชื่อมันในความเรียบง่าย และขวดน้ำหอมขวดนี้คือสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์

 

เส้นสายบนขวดนั้นเรียบง่ายและปราศจากการตกแต่ง ราวกับหยดน้ำ ประดับด้วยตัวหนังสือสีดำ แม้แต่การสลักแบรนด์ลงบนขวดก็ช่างดูเรียบง่าย จะมองเห็นก็เมื่อนิ้วสัมผัสหรือแสงตกกระทบ ฝาขวดเป็นสีดำชวนให้คิดถึงผลงานโดยเอเมอรี่ (Emery) ในศตวรรษก่อน แต่เมื่อถอดฝาที่ประดับด้วยตัวหนังสือ LV ออกมาก็จะเป็นหัวฉีดสเปรย์หรืออะตอมไมเซอร์ (atomizer) อยู่ด้านใน

แม้จะเป็นการเชื่อมโยงกับอดีต ขวดน้ำหอมของหลุยส์วิตตอง ขวดนี้ก็เป็นการถ่ายทอดวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตเช่นกัน กล่องแพ็กเก็จจิ้งทำด้วยกระดาษสีขาวและทองนั้น ทำคล้ายกับรูปทรงกระบอกของ เฌอ ตู อิล (Je, Tu, Il) ซึ่งเป็นน้ำหอมของหลุยส์ วิตตองที่เปิดตัวในปีค.ศ. 1928 และไม่มีจำหน่ายแล้วในปัจจุบัน

 

น้ำหอมทั้ง 7 รุ่นของหลุยส์ วิตตอง มีให้เลือกขนาด 200 มิลลิลิตร, 100 มิลลิลิตร, ขนาดสำหรับเดินทางบรรจุ 4 ขวด ขวดละ 7.5 มิลลิลิตร และกล่องบรรจุ 7 ขวดกระทัดรัด ขวดละ 10 มิลลิลิตร

ขวดน้ำหอมของหลุยส์ วิตตองนั้นออกแบบมาให้เก็บได้นานสามารถเป็นของขวัญให้รุ่นต่อ ๆ ไปได้ และสามารถนำไปเติมที่ร้านหลุยส์ วิตตองได้ ซึ่งที่ร้านจะมีเฟาน์เทนที่ออกแบบมาเพื่อขวดเหล่านี้โดยเฉพาะ

เพียงกดครั้งเดียวก็สามารถเติมน้ำหอมใส่ขวดได้โดยไม่ต้องสัมผัสน้ำหอมโดยตรง ราวกับว่าเป็นแคปซูลจากอนาคต เพื่อเป็นการระลึกถึง เลส์ ฟงแตนส์ ปาร์ฟูเมส์ (Les Fontaines Parfumées) หรือ “น้ำพุน้ำหอม” โรงผลิตน้ำหอมของ ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด ในเมืองกราสซึ่งให้บริการเติมน้ำหอมมากว่าศตวรรษ

 

 

น้ำหอมทั้ง 7 รุ่นของหลุยส์ วิตตอง มีให้เลือกขนาด  200 มิลลิลิตร (13,200 บาท) 100 มิลลิลิตร (9,300 บาท)

เพื่อความสะดวกในการพกพาเวลาเดินทาง เซ็ทนี้มีน้ำหอมขนาด 7.5 มิลลิลิตร 4 ขวด ออกแบบมาให้ปิดฝาด้วยแม่เหล็ก และสามารถต่อกับหัวฉีดสเปรย์ได้พอดี ให้คุณเปลี่ยนขวดเล็ก ๆ เหล่านี้เป็นน้ำหอมสำหรับพกพาได้ทันที (9,300 บาท และรีฟิล 4 ขวด 5,200บาท)

 

น้ำหอมของหลุยส์ วิตตองรังสรรค์มาเพื่อนักสะสมโดยเฉพาะ มีให้เลือกถึง 7 กลิ่น และเซ็ทนี้ประกอบไปด้วยขวดขนาดกระทัดรัด 10 มิลลิลิตรทั้งหมด 7 ขวด (9,300 บาท)

ตัวกล่องเป็นลายโมโนแกรม ออกแบบโดยหลุยส์ วิตตอง สามารถใส่ได้ครั้งละ 3 ขวด ให้ความรู้สึกเหมือนกระเป๋าใส่เครื่องสำอางของผู้หญิงในยุค 1920s (185,000 บาท)


 

บทสนทนากับ ฌาคส์ กาวาลิเย่ร์ แบลทรูด

 

Q: คุณเคยพูดถึงน้ำหอมที่ใช้ได้ทั้งชายและหญิง แต่ผลงานน้ำหอม 7 กลิ่นแรกของคุณเป็นกลิ่นสำหรับผู้หญิง เพราะว่าอะไร

A: หากโลกนี้ไม่มีผู้หญิง ก็คงไม่มีธุรกิจน้ำหอม กลิ่นนั้นไม่มีเพศและทุกอย่างสามารถใช้ได้ทั้งชายและหญิง ผมจินตนาการว่า กลิ่นเหล่านี้จะไปอยู่บนผิวของผู้หญิง ผมเชื่อในเสน่ห์ของผู้หญิงแต่เป็นในมุมมองที่ไม่จำเจ ผมอยากจะทำคอลเล็คชั่นเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ เน้นเรื่องอารมณ์ และตอบโจทย์ผู้หญิง ผมลองทุกกลิ่นกับภรรยาและลูกสาวคนโตของผม

 

Q: คุณใช้เวลาออกแบบน้ำหอมพวกนี้นานแค่ไหน

A: ผมเริ่มตั้งแต่ตอนมาร่วมงานกับหลุยส์ วิตตอง ในปีค.ศ. 2012 ตอนที่ผมกำลังทำความรู้จักกับแบรนด์และคนที่ทำงานที่นี่ ดีไซเนอร์ เครื่องหนัง และศาสตร์ต่าง ๆ ผมก็ได้ไอเดียสำหรับกลิ่นแรกแล้ว ผมไม่อยากให้น้ำหอมของผมมีส่วนประกอบที่ซ้ำกับอย่างอื่น ผมอยากจะบอกเรื่องราวผ่านกลิ่นบนผิว ผมนึกถึงกลิ่นดอกไม้ที่หอมสดชื่น และอยากจะนำมาใส่ในน้ำหอมของผม ผมอยากได้กลิ่นที่มีความเคลื่อนไหว สดชื่น สดใส คล้าย ๆ เป็นตะเกียงของอะลาดดิน (Aladdin) เมื่อเปิดแล้วจะได้พบกับความมหัศจรรย์

 

Q: คุณมีวัตถุดิบที่หายากอยู่ในมือเยอะมาก คุณเลือกอย่างไร

A: ผมมองหาวัตถุดิบที่จะช่วยบอกเล่าเรื่องราวที่ผมอยากเล่า ในประเทศจีนผมได้พบกับดอกแมกโนเลีย ออสแมนธัส และดอกมะลิจัสมิน แซมบัค ในเมืองกราส ผมใช้กรรมวิธีสกัดคาร์บอนไดอ็อกไซด์มาสกัดดอกจัสมินและเมย์โรส ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อนในอุตสาหกรรมน้ำหอม ส่วนกลิ่นหนังผมใช้หนังธรรมชาติของหลุยส์ วิตตอง หรือหนังที่ผ่านกระบวนการจนมีความงดงามราวอัญมณี การมีวัตถุดิบที่หายากไม่ได้หมายความว่าจะสร้างกลิ่นที่หอมได้เสมอไป ผมอยากจะนำความงามของวัตถุดิบเหล่านี้มาสร้างความน่าตื่นเต้น ไม่ใช่ความสับสน และผมอยากก่อให้เกิดความรู้สึกที่แปลกใหม่

 

Q: คุณสร้างน้ำหอม 7 กลิ่นพร้อม ๆ กัน ทำให้การทำงานของคุณยากขึ้นหรือไม่

A: ผมมีความสุขมากตอนที่คิดค้นน้ำหอม 7 กลิ่นนี้ การทำน้ำหอม 7 กลิ่นพร้อมกันทำให้ผมได้คิดเรื่ององค์ประกอบของน้ำหอม แต่ละกลิ่นก็มีความเกี่ยวเนื่องกันและช่วยให้ไอเดียผม ผมมีอิสระทางความคิดเพราะผมสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ 7 เรื่องโดยไม่ต้องออกแบบน้ำหอมกลิ่นเดียวให้เข้ากับผู้หญิงทุกคน ประสบการณ์นี้ทำให้ผมคิดนอกกรอบและมีมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับการทำน้ำหอม

 

 

ข้อมูลโดย
บริษัท หลุยส์ วิตตอง (ไทยแลนด์) จำกัด