FERRAGAMO #SS23

• Spring/Summer 2023

BY METROSOCIETY

  • 25 เมษายน 2566
  • 10,105

แม็กซิมิเลียน เดวิส (Maximilian Davis) เปิดตัวคอลเลคชั่นแรกสำหรับการสร้างตำนานบทใหม่ให้กับเฟอรากาโม (Ferragamo) ภายใต้แนวคิดที่ต้องการนำเสนอความรุ่งเรืองของแบรนด์จากประวัติศาสตร์ซึ่งเฟอรากาโมมีบทบาทอย่างยิ่งในฮอลลีวูด (Hollywood) ที่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของอุตสาหกรรมบันเทิง แม็กซิมิเลียน เดวิสต้องการที่จะระลึกถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ที่สร้างขึ้นโดยซัลวาทอเร่ เฟอรากาโม  (Salvatore Ferragamo) ด้วยการนำฮอลลีวูดมาตีความใหม่ให้เรียบง่าย มีเสน่ห์เย้ายวน ราวกับช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตกดิน

 

 

 

คอลเลคชั่นนี้ต้องการถ่ายทอดรูปแบบที่สดใหม่ของความหรูหรามีระดับซึ่งผสมผสานความร่วมสมัยเข้ากับดีเทลการจับจีบเดรป (Drape) แบบฟลอเรนซ์ (Florentine) ที่ซึ่งเป็นเมืองต้นกำเนิดของเฟอรากาโม นำเสนอความสง่างามน่าหลงใหลผ่านเนื้อผ้าที่มีความพริ้วไหวอย่าง ผ้าถักนิตเนื้อบาง (Sheer Knits) ผ้าไหม (Liquid Silk) และการเล่นเลเยอร์ของผ้าออแกนซ่า (Organza) ที่ถูกนำมาจับคู่กับรองเท้ารัดส้นหนังกลับ (Suede) ที่นำความดั้งเดิมจากยุคเรเนสซองส์ (Renaissance) มาใช้ พร้อมกับเครื่องประดับ และกระเป๋าที่มีพื้นผิวเงาวาว

 

 

เครื่องแต่งกายสำหรับสตรี นำเสนอกลิ่นอายของเครื่องแต่งกายริมหาดที่ดูเย้ายวนใจ อ่อนไหว ในสไตล์ฮอลลีวูดแบบใหม่ถูกตัดเข้ากับดีเทลที่มีความเซ็กซี่แบบเฟติช (Fetishism) อาทิ การใช้หนังเคลือบเงา เครื่องแต่งกายที่มีความแนบเนื้อ และกางเกงขาสั้นพิเศษ และเพิ่มรายะเอียดที่สามารถใส่ชีวิตประจำวันเข้าไป อย่าง เสื้อกล้าม คอเสื้อแบบโปโล และกางเกงเลกกิ้ง (Leggings) เสริมด้วยผ้าถักนิตแบบหลวมที่เผยให้เห็นผิวของผู้สวมใส่ราวกับเป็นเสื้อผ้าโปร่งแสง ถึงแม้ดีเทลทั้งหมดจะที่ดูเรียบง่าย แต่กลับถูกดัดแปลงให้ผิดเพี้ยนไปจากปกติ เพื่อสร้างมิติที่น่าสนใจยิ่งขึ้นให้กับคอลเลกชั่น ชุดราตรี (Eveningwear) มาพร้อมรองเท้าสีแดงที่ระยิบระยับที่นำต้นแบบมาจากรองเท้าที่เฟอรากาโมทำให้มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) ในปี 1959 ที่ทำให้คอลเลกชั่นนี้ระยิบระยับไปด้วยประกายจากคริสตัลมากมาย ที่ถ่ายทอดความเป็นฮอลลีวูดแบบใหม่ได้อย่างลงตัว

 

 

 

เครื่องแต่งกายสำหรับผู้ชาย ได้มีการนำดีเทลตัดเย็บมาพลิกแพลงความมัสคิวลีน (Masculine) แบบยุค 1980s ไม่ว่าจะเป็น สัดส่วนของเครื่องแต่งกาย รายละเอียดการทิ้งตัวของผ้าที่โดยปกติจะมีเฉพาะในเสื้อผ้าผู้หญิง หรือทักซิโด้ (Tuxedo) ที่ถูกประยุกต์โดยการตัดเย็บด้วยผ้าไหมออแกนซ่า (Silk Organza) และผ้าฝ้ายป๊อปปลิ้น (Cotton Poplin) โดยที่ตัดส่วนของปกและแขนเสื้อออก

กระเป๋าที่เป็นไฮไลท์ของโชว์นี้คือ เดอะ วานด้า แบ็ก (The Wanda Bag) ที่เปิดตัวในปี 1988 และถูกตั้งชื่อตามภรรยาของโดยซัลวาทอเร่ เฟอรากาโม  ในครั้งนี้กลับมาด้วยสัดส่วนใหม่ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันกระเป๋าสะพายไหล่ทรงเหลี่ยมก็ถ่ายทอดความโมเดิร์นและมินิมอล (Minimalist) ได้อย่างลงตัว ด้วยแนวคิดของเดวิสที่ต้องการให้กระเป๋าทุกชิ้นมีความสนุกสนานในตัว และนำเสนอความน่าสนใจราวกับเป็นวัตถุที่น่าสะสมชิ้นหนึ่งที่มีความหมายและคุณค่าในตัวเอง

 

 

เครื่องประดับในซีซั่นนี้ ทั้งรองเท้าและกระเป๋า ถูกออกแบบด้วยรูปทรงออแกนิค (Organic From) ที่มาพร้อมความโฉบเฉี่ยวและมั่นคง โดดเด่นด้วยส้นสูง Elina รุ่นใหม่ที่นำสัญลักษณ์ของแบรนด์อย่าง Gancino มาใช้เป็นส้นรองเท้า นำเสนอกระเป๋าใบใหม่ที่มีดีเทลแบบคัท-เอาท์ (Cut-out) ที่ด้านนอกเป็นหนังเคลือบเงาและภายในเป็นผ้าแคนวาส (Canvas) ที่เข้ากันไปกับความโค้งมนของเครื่องประดับในฤดูกาลนี้ พร้อมกับผ้าพันคอผ้าเนื้อบางที่พริ้วไหวเมื่อขยับร่างกาย ถึงแม้ว่าคอลเลคชั่นนี้จะลดการใช้ลายพิมพ์ลง แต่ดีเอ็นเอของเฟอรากาโมจากอดีตนั้นยังชัดเจนด้วยการนำเสนอที่ทันสมัยที่เดวิสได้อธิบายเพิ่มเติมว่าเหมือนกับการที่เรามองกลับไปยังคอลเลคชั่นอาไควฟ์ในอดีต (Archive) และเลือกสรรองค์ประกอบที่เราสามารถนำมาแปลความใหม่เพื่อตอบรับกับยุคปัจจุบัน

 

 

แรงบันดาลใจของโทนสีคือผลงาน Sunset Series ราเชล แฮริสัน (Rachel Harrison) จากสีขาวออปติก (Optic White) สู่สีน้ำเงินเข้มอินดิโก (Indigo) สีเหลืองนวลสู่สีท้องฟ้า และนำเสนอสีแดงเฉดสีใหม่ของเฟอรากาโมทั้งบนรันเวย์และทั่วบริเวณของสถานที่จัดโชว์อย่างโรงแรม พอตเทรท มิลาโน (Portrait Milano) ถูกปูพื้นทรายสีแดงทั่วทั้งบริเวณ โดยแม็กซิมิเลียน เดวิส กล่าวว่าทรายสีแดงนี้เกี่ยวข้องกับทั้งเฟอรากาโม ทั้งฮอลลีวูด ทั้งทะเล และรวมไปถึงตัวของผมเอง มันเป็นเหมือนดีเอ็นเอของผม ซึ่งทะเลนั้นยังสามารถหมายถึงวัฒนธรรมแบบแคริเบียน (Caribbean) ซึ่งผมอยากถ่ายทอดมุมมองนี้ผ่านเลนส์ของเฟอรากาโม

 

 

โชว์อันเป็นที่น่าจดจำนี้ถูกจัดขึ้นในโรงแรม พอตเทรท มิลาโน (Portrait Milano) ซึ่งเป็นอารมบาทหลวงเซมินารีแห่งมิลาน (Seminario Arcivescovile di Milano) ที่สร้างในสมัยของนักบุญคาร์โล บอร์โรเมโอ (Saint Carlo Borromeo) ในศตวรรษที่ 17ตัวอาคารยังคงเป็นประวัติศาสตร์ของสถาปัตยกรรมบาโรก (Baroque) และ นีโอคลาสสิก (Neoclassical) ตอนนี้สถานที่อยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์และปรับปรุง อีกไม่นาน โรงแรม พอตเทรท มิลาโน จะเปิดและพร้อมเป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ใจกลางเมืองมิลานที่มีทั้ง ร้านบูติก ร้านอาหาร และ สวนให้เที่ยวชมอีกด้วย