HOW TO CHOOSE YOUR SUNGLASSES
- 15 กรกฏาคม 2556
- 2,811
แว่นกันแดดนับเป็นหนึ่งในไอเทมที่มีความสำคัญพอสมควรให้การคอมพลีทลุคและมีประโยชน์ต่อดวงตาของคุณเป็นอันมาก แต่อย่าลืมนะครับว่าแว่นกันแดดที่ดีนั้นจำเป็นกันแดดได้จริงๆไม่ใช่ใส่เพื่อเป็นแฟชั่นหรือความโก้หรูเพียงอย่างเดียว
แว่นตากันแดดที่ดีควรมีคุณสมบัติที่สามารถลดความสว่างของแสงลงได้ 70-80% เพื่อลดผลกระทบของแสงจ้าต่อการทำงานของจอประสาทตาในการแยกแยะรายละเอียดของวัตถุในที่สว่าง(Contrast Sensitivity) และความสามารถในการปรับการมองเห็นในที่มีแสงลดลง(Dark Adaptation) โดยการเลือกสีเลนส์ที่มีความเข้มพอเหมาะ
การเลือกซื้อแว่นตากันแดดนั้นต้องคำนึงถึงคุณสมบัติพื้นฐาน ดังต่อไปนี้
1. ความสามารถในการป้องกันหรือดูดซับรังสีอุลตร้าไวโอเลต หรือ UV
รังสีอุลตร้าไวโอเลตหรือรังสี UV เป็นรังสีที่มองไม่เห็นประกอบด้วยรังสี UVA, UVB และ UVC ซึ่งแตกต่างกันไปตามความยาวคลื่น ที่มีในแสงแดดจะประกอบด้วยรังสี UVA 90% และ UVB 10% ส่วน UVC จะถูกกั้นด้วยบรรยากาศชั้นโอโซน ทำให้ไม่ผ่านมาถึงผิวโลก นอกจากนี้ยังมีในแสงที่มาจากงานอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น แสงที่เกิดจากการเชื่อมเหล็ก โคมไฟฆ่าเชื้อโรค เป็นต้น รังสี UV นี้จะมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคทางตาหลายอย่าง เช่น ต้อเนื้อ, กระจกตาอักเสบ, ต้อกระจก และโรคจอประสาทตาเสื่อม
ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงจากแสงอุลตร้าไวโอเลตโดยเฉพาะในแสงแดด ซึ่งต้องเจอในชีวิตประจำวันโดยการสวมแว่นตากันแดดป้องกัน ตามมาตรฐานของแว่นตากันแดด วัสดุที่ใช้ทำเลนส์จะต้องมีคุณสมบัติที่สามารถป้องกันรังสี UVB ได้อย่างน้อย 70% และรังสี UVA ได้อย่างน้อย 60% สำหรับวัสดุที่นำมาใช้ทำเลนส์แว่นตากันแดดมีด้วยกันหลายชนิด เช่น วัสดุประเภท Polycarbonate มีคุณสมบัติที่สามารถป้องกันรังสี UV ได้ 99 % ส่วนวัสดุที่เป็นพลาสติก(CR-39) และกระจกจะมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV เพิ่มขึ้นได้โดยการเคลือบสารเคมีลงบนผิววัสดุ
ในทางปฏิบัติควรมองหาป้ายรับรองที่ติดมากับแว่นตาว่าสามารถป้องกันรังสี UV ได้มากน้อยเพียงใด ป้ายที่เขียนว่า “block UV” นั้นไม่ได้ระบุชัดเจนว่าป้องกันรังสี UV ได้เท่าใด สำหรับป้ายที่เขียนว่า “UV protection up to 400 nm” หมายความว่า สามารถป้องกันรังสี UV ได้ 100% ดังนั้นจึงควรเลือกใช้แว่นตากันแดดที่มีการรับรองว่าสามารถป้องกันรังสี UV ได้ 99-100%
ยังมีสภาวะแวดล้อมบางอย่างจะมีผลต่อโอกาสที่จะได้รับรังสี UV ในระดับที่แตกต่างกัน จึงควรคำนึงถึงด้วย เช่น
- แสงสะท้อนจากธรรมชาติหรือวัสดุผิวเรียบ เช่น หิมะจะสะท้อนรังสี UV ได้สูงถึง 60-80% ในเวลากลางวัน ไม่ว่าจะมีแสงแดดส่องหรือไม่ก็ตาม, ทรายตามชายหาดหรือทะเลทรายจะสะท้อนรังสี UV ประมาณ 15% ขณะที่ผิวน้ำสะท้อนได้ประมาณ 5%
- ระดับความสูง ยิ่งอยู่ที่สูง เช่น บนภูเขาจะยิ่งมีรังสี UV มาก
- ตำแหน่งที่ตั้ง ยิ่งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรจะมีโอกาสรับรังสี UV มากกว่าบริเวณอื่นของโลก
- ฤดูกาล จะมีรังสี UV มากที่สุดในฤดูร้อน รองลงมาคือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ตามลำดับ
- ช่วงเวลา มีรังสี UV มากระหว่างเวลา 10:00-16:00 น. และสูงที่สุดในเวลาเที่ยงวัน
- ระยะเวลา ยิ่งอยู่กลางแดดนาน จะยิ่งได้รับรังสี UV มากตามไปด้วย
- สภาพอากาศ เมฆหรือหมอกไม่สามารถป้องกันรังสี UV ได้
2. การลดความเข้มของแสงแดด หรือแสงสะท้อน
แว่นกันแดดควรมีคุณสมบัติที่สามารถลดความสว่างของแสงลงได้ 70-80% เพื่อลดผลกระทบของแสงจ้าต่อการทำงานของจอประสาทตาในการแยกรายละเอียดของวัตถุในที่สว่าง (Contrast Sensitivity) และความสามารถในการปรับการมองเห็นในที่มีแสงลดลง (Dark Adaptation) โดยการเลือกสีเลนส์ที่มีความเข้มพอเหมาะ หรือเคลือบเลนส์ด้วยสารกันแสงสะท้อน (Anti-Reflection) หรือสารสะท้อนแสง(Mirror Coating) เป็นต้น
การเคลือบสีเลนส์ (Gradient Tint) มักเคลือบสีเข้มทางด้านบนของเลนส์ แล้วไล่สีจางลงสู่กลางเลนส์ด้านล่าง การเคลือบสีแบบนี้ได้ผลดีในการลดแสงจ้าที่มาจากตำแหน่งเหนือระดับสายตา เช่น ดวงอาทิตย์ เหมาะสำหรับการใส่ขับรถ แต่ไม่เหมาะสำหรับใส่เล่นกีฬากลางแจ้ง แว่นตากันแดดสำหรับใส่เล่นกีฬาควรเคลือบสีเข้มทั้งด้านบนและด้านล่าง และไล่สีจางตรงกลาง เพื่อตัดแสงสะท้อนจากพื้นน้ำหรือหิมะด้วย
การเคลือบสารกันแสงสะท้อน (Antireflection) ช่วยลดแสงสะท้อนที่เกิดขึ้นในเลนส์แว่นตาที่จะมารบกวนการมองเห็น นอกจากนี้ยังลดแสงสะท้อนที่ผิวเลนส์ด้านนอก ทำให้ผู้อื่นมองเห็นดวงตาของผู้ใส่แว่นตาได้ชัดเจนไม่มีเงาสะท้อนที่ผิวเลนส์ ทำให้ดูเหมือนไม่ได้ใส่แว่นตาจึงดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
การเคลือบสารสะท้อนแสง (Mirror Coating) เป็นการลดแสงที่จะเข้าตาโดยการสะท้อนแสงกลับคล้ายกระจกเงา โดยไม่มีผลต่อการมองเห็น ผู้ใส่ยังสามารถมองเห็นผ่านเลนส์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เลนส์ Polarized เนื้อเลนส์จะใสแต่สามารถลดแสงที่จะผ่านเข้าตาได้ โดยเนื้อเลนส์จะตัดแสงที่ผ่านเลนส์ให้เหลือเพียงระนาบเดียว เหมาะสำหรับกิจกรรมที่ต้องการการมองเห็นที่ชัดเจนแต่ต้องเจอแสงสะท้อนจากพื้นผิวต่างๆโดยที่ไม่มีแสงแดดจ้า เช่น ขับรถ, เล่นสกี, ตกปลา เป็นต้น
นอกจากนี้ควรเลือกแว่นตากันแดดที่มีรูปทรงที่เหมาะสมและเข้าได้กับลักษณะใบหน้าของแต่ละบุคคล เพื่อให้สามารถปกป้องดวงตาจากแสงที่มาจากมุมต่างๆ ได้รอบทิศ และต้องคำนึงไว้เสมอว่า การลดทอนความจ้าของแสงแดดและแสงสะท้อนไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการป้องกันรังสี UV เพราะสารที่ป้องกันรังสี UV ได้นั้นไม่มีสี ความเข้มของสีเลนส์แว่นกันแดดกับการป้องกันรังสี UV จึงเป็นคนละเรื่องกัน
3. สีเลนส์แว่นตากับกิจกรรมต่างๆ
การเลือกสีของเลนส์แว่นตาให้เหมาะสมกับกิจกรรมหรืองานที่ทำสามารถช่วยให้การมองเห็นดีขึ้นได้
- สีเทา (Gray), สีเขียวอมเทา (แบบแว่น Ray-Ban) ลดความเข้มของแสง โดยไม่ทำให้สีของวัตถุผิดเพี้ยน
- สีน้ำตาล (Brown) ช่วยเพิ่มความสามารถของการมองแยกรายละเอียดของวัตถุในที่สว่างได้ดีมาก (Very High Contrast) เหมาะสำหรับเมื่อต้องการมองแยกวัตถุต่างๆได้ชัดเจน แต่จะทำให้สีของวัตถุเพี้ยนไป
- สีอำพัน (Amber) ช่วยให้มองเห็นวัตถุในระยะไกลได้ดีขึ้น ป้องกันแสงสีฟ้า (Blue Light) ที่เป็นอันตรายต่อจอประสาทตา เหมาะสำหรับนักบิน คนขับเรือ นักยิงปืน นักสกี
- สีเหลือง (Yellow) ช่วยให้มองแยกรายละเอียดของวัตถุ (Contrast) ได้ดีขึ้น แต่ทำให้สีของวัตถุดูกระด้าง
- สีชมพู (Pink), สีแดง (Red) เหมาะสำหรับคนที่มีกล้ามเนื้อตาล้าจากการใช้คอมพิวเตอร์ แต่ก็ทำให้สีเพี้ยนไปด้วย
- สีแดงชาด (Vermillion) ช่วยให้มองแยกส่วนที่เป็นน้ำออกจากวัตถุอื่นๆได้ดี แต่ทำให้วัตถุมีสีผิดเพี้ยนมากที่สุด
- สีฟ้า (Blue) ช่วยให้มองเห็นวัตถุที่มีสีขาวเช่น หิมะ ได้ดี แต่ก็ทำให้สีอื่นเพี้ยนเช่นกัน
ที่มา http://dr.yutthana.com/