5 Stylish motorcycles • 2018

BY Poy T.

  • 20 สิงหาคม 2561
  • 3,960

ในตอนนี้ Bigbike หรือมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ดูทั้งเท่และโฉบเฉียวน่าจะเป็นที่คุ้นหูคุ้นตากันดีของคุณหลายๆ คนในตอนนี้ซึ่งจริง ๆ แล้วในไทย Bigbike เริ่มมีเข้ามาขับขี่กันนานพอสมควรแล้วแต่น่าจะเป็นช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมานี่เองที่พวกเราเริ่มคุ้นตากับรถจักรยานยนต์ประเภทนี้กันมากขึ้น 

เพราะรูปร่างที่ใหญ่กว่ามอเตอร์ไซค์ทั่วไปรวมทั้งมีเครื่องยนต์ตั้งแต่ 250 cc. ไปจนถึง 2400 cc. กันเลยทีเดียวแถมตัวสูบก็มีตั้งแต่รุ่นสูบเดียวไปจนถึง 6 สูบอีกด้วย แต่ก็จะแยกระบบส่งกำลังไปตามการออกแบบของแต่ละแบรนด์ซึ่งก็มีทั้งแบบใช้โซ่ เพลาขับ และสายพาน แล้วถ้าจะเจาะกันให้ลึกเข้าไปอีก

  

Bigbike ที่เราเห็นกันทุกวันนี้ก็ยังแบ่งออกเป็นทั้ง Naked Bike ที่จะเป็น Bigbike ที่มีการเปลือยแฟริ่งส่วนด้านหน้าถือว่าเป็น Bigbike ที่นิยมใช้ขับกันในเขตเมืองเพราะด้วยความแรงที่มาพร้อมกับความคล่องตัวของมันนั่นเองช่วยให้ผู้ขับสามารถเคลื่อนไหวในการจราจรในแบบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีนั่นเอง และสำหรับ Bigbike ที่เห็นกันในสนามแข่งขันบ่อยๆ นั่นก็คือ Sport Bike นั่นเองรถ Bigbike ประเภทนี้จะเหมาะมากสำหรับการแข่งขันในทางเรียบ

  

และสำหรับหนุ่ม ๆ นักเดินทางที่ชอบเดินทางไกลด้วยตัวเองนั้นก็อาจจะไม่ต้องขับรถยนต์คันใหญ่ไปลุยกันเสมอเพราะมี Bigbike ในประเภท Touring Bike ที่สร้างมาเพื่อให้พาคุณเดินทางไกลไปได้ตามใจที่คุณต้องการด้วยการออกแบบมาให้มีชิวล์บังลมและฝนที่จะเข้ามาปะทะกับหน้าของคนขับทำให้สภาพแวดล้อมไม่มาเป็นอุปสรรคในการเดินทางของคุณมากนัก และสุดท้าย Bigbike ในประเภท Chopper ซึ่งเป็น Bigbike ที่แอบนิยมในไทยมานานกว่าประเภทอื่นๆ และมีเอกลักษณ์คือแฮนด์ที่สูงกว่าตัวรถทำให้คนขับขี่จะต้องวางมือไว้สูงกว่าปกติรวมทั้งมีเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเป็นจังหวะเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของ Chopper อย่างแท้จริง


แล้วถ้าจะไม่แนะนำ Bigbike ในแต่ละประเภทที่เรียกได้ว่าเป็นรุ่นล่าสุดที่แต่ละแบรนด์คัดสรรแข่งขันกันออกมาเอาใจเหล่า Biker ก็คงจะทำให้หลาย ๆ คนอารมณ์ค้าง วันนี้ MetroSociety เลยคัดแล้วเลือกอีกเอามาเสนอให้เหล่า Biker ได้อัพเดทเทรนด์ประจำปี 2018 กัน

 

1. Ducati Panigale V4

Ducati แบรนด์ดังในดวงใจของหลาย ๆ คนได้ปล่อย Ducati Panigale V4 ซึ่งจัดเป็น Bigbike ในประเภท Sport Bike ที่ออกมาเรียกความสนใจจากเหล่า Biker ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาโดยรุ่นนี้ถือว่าเป็นการผสมผสานความแรงในแบบสนามแข่งขันมารวมกับการขับขี่บนท้องถนนได้อย่างลงตัวและมีสไตล์มากรุ่นหนึ่งเลยทีเดียวโดยใน Ducati Panigale V4 มีการปรับเครื่องยนต์ให้ทันสมัยและมาพร้อมกับสมรรถนะที่ทำให้หลายๆคนต้องตะลึงกันได้อย่างแน่นอนเพราะ Ducati Panigale V4 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Desmosedici Stradale ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,103 ซีซีมีอัตราอัด 214 แรงม้าที่ 13,000 รอบต่อนาทีมีแรงบิดสูงสุด 122 นิวตันเมตรที่ 10,000 รอบต่อนาทีมีระยะระหว่างล้อหน้ากับล้อหลังรถที่ 1,469 มิลลิเมตรสูงถึงที่นั่ง 830 มิลลิเมตร

 

  

แถมยังโฉบเฉียวด้วยรูปลักษณ์เฟรมแบบใหม่ที่มีคุณสมบัติทั้งยืดหยุ่นเบาและแข็งแรงในเวลาเดียวกันแต่ก็ยังไม่ทิ้งความโค้งเว้าที่เป็นเอกลักษณ์ของทาง Ducati อยู่เช่นเดิมและในส่วนของเทคโนโลยีของตัวรถทาง Ducati ก็ไม่ลืมที่จะมาพร้อมกับไฟหน้าที่มีทั้งเดย์ไลท์และสปอร์ตไลท์และจอแสดงผลแบบ LED ที่พักเท้าแบบก้านพับปรับระดับได้ตามต้องการอีกด้วย

  

และก็เป็นไปตามที่คาด Ducati Panigale V4 มาพร้อมกับสีแดงที่เป็นสีประจำตัวของทาง Ducati รองรับได้ทั้งการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), เบนซิน 95 น้ำหนักเฉพาะตัวรถจะอยู่ที่ประมาณ 175 กิโลกรัมนั่นเอง

 

 

2. Triumph Bonneville Speedmaster

ความคลาสสิคในสไตล์ผู้ดีเมืองอังกฤษกับแบรนด์ Triumph นั้นเหมือนจะมาเป็นของคู่กันและ Triumph เองก็เป็นแบรนด์ที่บุกตลาดรถจักรยานยนต์ของไทยมาเป็นเจ้าแรก ๆ แล้วด้วยเช่นกันจึงไม่แปลกที่จะมีสาวกคอยติดตามและตื่นเต้นกับลูกเล่นใหม่ ๆ ที่สื่อสารออกมาในสไตล์ที่สุดแสนคลาสสิคจาก Triumph กันอยู่เสมอ

  

และนี่คงเป็นเหตุผลให้ Triumph Bonneville Speedmaster กลายมาเป็น Bigbike ที่มีเสน่ห์จนทาง MetroSociety ต้องยกขึ้นมาแนะนำกันในวันนี้นั่นเอง และเชื่อได้เลยว่า Bigbike จาก Triumph ในตระกูล Bonneville นั้นไม่เคยทำให้คุณผิดหวังในส่วนของความสะดวกง่ายดายและคล่องแคล่วในการขับขี่กันอย่างแน่นอน

  

โดย Triumph Bonneville Speedmaster มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1200 cc. และยังมาพร้อมกับกล่องแบตเตอรี่แบบดั้งเดิมเห็นแล้วรู้สึกได้ถึงความใส่ใจและความคลาสสิคอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว แล้วเมื่อมองขึ้นมาก็จะเห็นภาพรวมของทั้งเบาะนั่งสุดคลาสสิคที่สามารถถอดเบาะออกให้เหลือเป็นที่นั่งเดี่ยวได้มาพร้อมกับแฮนด์ในแบบ Beach Bar อีกด้วย และมั่นใจได้เลยว่าเสียงเครื่องยนต์ของ Triumph Bonneville Speedmaster นั้นจะออกมาในโทนที่ทั้งลุ่มลึกและหนักแน่นเป็นที่สุดด้วยการติดตั้งชุดกรองอากาศและการออกแบบไส้กรองอากาศคู่มาอย่างพิถีพิถันจนทำให้เสียงออกมานุ่มนวลมากกว่าที่เคย

เพิ่มความละเอียดเข้าไปอีกกับถังน้ำมันเชื้อเพลงในตระกูล Bonneville ที่แกะสลักด้วยมือทำให้เห้นถึงความประณีตและหรูหราอย่างโดดเด่น แถมยังเป็นถังขนาด 12 ลิตร ที่มากพอที่จะยืดเวลาการเดินทางของคุณขึ้นไปอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีชุดตกแต่งทั้งแบบ Highway และ Maverick ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่ให้กลายเป็นแบบรถ Touring หรือจะดูเรียบง่ายในแบบที่แสนจะดุดันก็ได้ตามสไตล์ของคุณ

 

 

3. Honda GoldWing

Bigbike ในประเภท Touring Bike จาก Honda เผยโฉมประจำปี 2018 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วและ Honda GoldWing นั้นก็ถูกปรับโฉมใหม่ลบภาพลักษณ์เดิมๆทิ้งไปจนเกือบหมดเริ่มตั้งแต่จุดแรกก็สะดุดตากันแล้วกับชุดโคมไฟหน้า LED ที่ตัดขอบให้ดูคมชัดลายเส้นลึกดูเฉียบคมขึ้นมากเลยทีเดียวและมาคราวนี้ก็มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือรายละเอียดภายในไม่ว่าจะเป็นขนาดของลูกสูบช่วงชักระบบเปิดปิดไอดีไอเสียและมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1,833 cc. รวมทั้งระบบส่งกำลังที่เพิ่มขึ้นมาอีก 2 ระดับรวมเป็นชุดเกียร์ 7 จังหวะในรุ่น DCT และ 6 จังหวะในรุ่นแมนวลคลัชท์อีกด้วย

  

และ Honda GoldWing ก็มีไฮท์ไลท์สำคัญคือระบบกันสะเทือนหน้านั่นเอง เพราะเป็นการเพิ่มชุดระบบกันในแบบดับเบิ้ลวิชโบนเข้ามาทำให้การขับขี่ของคุณนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นนั่นเองและในเมื่อเป็นรถประเภท Touring Bike กันแล้วก็คงจะขาดไม่ได้สำหรับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ทั้งคันเร่งไฟฟ้า เกียร์ถอยหลัง Cruise Control ถุงลมนิรภัย แผนที่ ระบบ Apple Carplay และชุดเครื่องเสียงระดับพรีเมี่ยมอีกด้วย ถือว่าขนกันมาเอาใจ Biker ที่รักรถ Touring กันอย่างเต็มที่จริงๆ

 

 

 

4. Harley Davidson 2018 Fat Boy

มาคราวนี้ทำเอา Biker ที่ชื่นชม Chopper หลายคนต้องรีบเช็คกระเป๋าเงินกันให้ดีเพราะคุณสมบัติของ Fat Boy จาก Harley Davidson ตำนานของ Chopper ที่เปิดตัวออกมาในครั้งนี้นั้นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight™ 107 ที่จะทำให้เสียงกระหึ่มสมใจและความแรงถึง 1,745 cc. กันเลยทีเดียวแถมยังมีถังบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงที่สามารถบรรจุได้ถึง 18.9 ลิตรเรียกได้ว่าขับกันไปยาวๆไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำมันกันเลยทีเดียว

  

และแน่นอนว่ารูปลักษณ์ของเจ้า Fat Boy ในครั้งนี้นั้นจะคงความเป็นเอกลักษณ์แต่ปรับทุกอย่างให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นแถมยังมีสีโครเมียมแบบด้านพร้อมทั้งล้อในแบบ Lakester และยางหลังที่หนาและใหญ่ขนาด 240 มิลลิเมตรทำให้คุณมั่นใจกับทุกการวิ่งบนทุกพื้นผิวได้อย่างแน่นอน และก็ยังไม่พลาดที่จะพกไฟ LED มาท้าทายความมืดให้ต้องพ่ายแพ้เมื่อ Fat Boy แล่นอยู่ท่ามกลางมันช่วยให้ผู้ขับเห็นถนนหนทางในตอนกลางคืนได้ชัดเจนยิ่งขึ้นนั่นเอง และด้วยโครงของรถที่แข็งแรงทนทานแต่ทีน้ำหนักเบาทำให้การเคลื่อนไหวพริ้วไปกับทุกแรงเร่งได้เป็นอย่างดี

  

และเมื่อเดินทางไปในพื้นที่ที่อาจมีพื้นผิวไม่เป้นดังใจก็คลายกังวลกันได้ด้วยระบบกันสะเทือนด้านหน้าที่เอาโช้คแบบ Cartridge มารับน้ำหนักและเพิ่มความนุ่มนวลอย่างคาดไม่ถึงให้กับคุณพร้อมทั้งโช้คด้านหลังแบบเดี่ยวที่จะมาช่วยคุณรักษาความเร็วกันได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นอง

 

 

5. Kawasaki Z1000

ถ้าจะมองหา Bigbike ในแบบ Naked Bike สักคัน Kawasaki Z1000 ก็ควรอยู่ในตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะด้วยรูปลักษณ์ที่แสนโฉบฉียวคล่องตัวแต่ก็นิ่มนวลอย่างไม่ต้องถามหาและเหมาะกับการเคลื่อนไหวในพื้นที่จำกัดแต่ก็ยังคงไว้ในสไตล์ที่ดุดันและเท่มากๆตัวหนึ่งเลยทีเดียวในครั้งนี้ Kawasaki Z1000 มาพร้อมกับ 4 สูบระบายความร้อนด้วยน้ำและเครื่องยนต์ 1,043 cc. และมีช่องลมคู่พาอากาศเย็นเข้าสู่กล่องอากาศได้โดยตรงอีกด้วยและไม่ต้องกังวลกับระบบท่อไอเสียเพราะครั้งนี้ Kawasaki Z1000 พกมาถึง 2 ท่อจัดวางเอาไว้ทั้ง 2 ข้างอย่างลงตัวที่มาพร้อมกับท่อเก็บเสียงแบบแยกส่วน

  

นอกจากนี้การเดินทางของคุณจะชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยไฟ LED ถึง 4 ดวงพร้อมเลนส์แบบโปรเจ็กเตอร์ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มความสว่างให้กับคุณไปอีกและที่สำคัญถังน้ำมันในขนาด 17 ลิตร แม้จะดูน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ ที่แนะนำกันมาแต่ Kawasaki Z1000 ก็มีเรือนไมล์แบบดิจิตอลที่มีจอ LED คอยรองรับและคอยแจ้งเตือนถึงอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้กับคุณอยู่เสมอและคงไม่ต้องบอกว่าคุณจะสนุกกับการขับขี่ได้เพลิดเพลินขนาดไหน

  

 
หลักปลอดภัยสำคัญคือคุณจะต้องรู้ลิมิตตัวเองทั้งในเรื่องของความเชี่ยวชาญการขับ ความคุ้นเคยเส้นทาง และความเร็วที่ตัวเองสามารถบังคับได้ไหว อย่าฝืนและอย่าพยายามเพราะมันอาจจะไม่มีโอกาสมากนักที่จะได้แก้ตัว หากคุณรักและชื่นชอบในการขับขี่ก็จำเป็นที่จะต้องรักการเรียนรู้ทักษะการขับขี่ที่เหมาะสมอีกด้วย อย่าประมาทและคิดว่าขับไปเดี๋ยวก็เป็นเองซึ่งมันเป็นการเริ่มต้นกระจายความเสี่ยงให้กับคนที่ร่วมท้องถนนกับคุณด้วยเช่นกัน

และอย่าลืมเด็ดขาดกับอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยเพราะแม้ว่าคุณจะมีทักษะความรู้ปละความชำนาญขนาดไหนแต่คุณก็ไม่สามารถดูแลร่างกายของคุณเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้ดีเท่ากับอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานอย่างแน่นอน ก่อนการออกเดินทางหรือเมื่อครบกำหนดอย่าลืมและอย่าขี้เกียจที่จะเอารถของคุณไปเช็คและตรวจสภาพอย่างละเอียดด้วย สุดท้ายเมื่อใช้ท้องถนนร่วมกับผู้อื่นการเคารพกฎจราจรนั่นคือสิ่งที่สำคัญและช่วยลดความเสี่ยงได้มากเลยทีเดียว


MetroSociety ขอให้เหล่า Biker และคนที่อยากจะลองสัมผัสประสบการณ์ความเร็วมีความสุขกับสิ่งที่รักและไม่ลืมที่จะแบ่งปันน้ำใจให้กับคนรอบตัวบนท้องถนนเพื่อจะทำให้ Bigbike ได้ใช้งานตามจุดประสงค์ของการประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างแท้จริงนั่นก็คือการเดินทางอย่างมีความสุขในแบบฉบับของคุณนั่นเอง